วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ip address 

   
    
ip address คือ เลขรหัสประจำคอมพิวเตอร์ที่ต่ออยู่บนเครือข่าย ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุดและมีเครื่องหมายจุดขั้นระหว่างชุด ยกตัวอย่างเช่น 192.168.1.1 เป็นต้นหรือนิยมเรียกสั้นๆว่า IP ซึ่งตัวเลข IP แต่ละเครื่องจะไม่ซ้ำกัน ดังนั้น จึงได้มีการก่อตั้งองค์กรเพื่อ แจกจ่าย IP Address โดยเฉพาะ ชื่อองค์กรว่า InterNIC (International Network Information Center) อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา การแจกจ่ายนั้นทาง InterNIC จะแจกจ่ายเฉพาะ Network Address ให้แต่ละเครือข่าย ส่วนลูกข่ายของเครือง ทางเครือข่ายนั้นก็จะเป็น ผู้แจกจ่ายอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นพอสรุปได้ว่า IP Address จะประกอบด้วยตัวเลข 2 ส่วน คือ
  1. Network Address
  2. Computer Address
การแบ่งขนาดของ Network Address แบ่งได้ หลายขนาด 
Class A หมายเลข IP Address จะอยู่ในช่วง 0.0.0.0 ถึง 127.255.255.255 มีไว้สำหรับจัดสรรให้กับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อภายในเครือ ข่ายจำนวนมากๆ
 Class B หมายเลข IP Address จะอยู่ในช่วง 128.0.0.0 ถึง 191.255.255.255 มีไว้สำหรับจัดสรรให้กับองค์กรขนาดกลาง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้มากถึง 65,534 เครื่อง 
Class C หมายเลข IP Address จะอยู่ในช่วง 192.0.0.0 ถึง 223.255.255.255 มีไว้สำหรับจัดสรรให้กับองค์กรขนาดเล็กและใช้กับคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ในเครือ ข่ายอินเตอร์เน็ตสามารถต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้ 254 เครื่อง 
Class D หมายเลข IP Address จะอยู่ในช่วง 224.0.0.0 ถึง 239.255.255.255 สำหรับหมายเลข IP Address ของ Class นี้มีไว้เพื่อใช้ในเครือข่ายแบบ Multicast เท่านั้น
 Class E หมายเลข IP Address จะอยู่ในช่วง 240.0.0.0 ถึง 254.255.255.255 สำหรับหมายเลข IP Address ของ Class นี้จะเก็บสำรองไว้ใช้ในอนาคต ปัจจุบันจึงยังไม่ได้มีการนำมาใช้งาน ซึ่งเราสามารถเช็ค IP เครื่องเราได้ที่บทความเก่าๆ วิธีตรวจสอบ IP Addressไอพีที่ใช้ตามคอมพิวเตอร์บ้านเราจะเป็น Class C ครับ

 

การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ

 การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการสารสนเทศ
การแก้ปัญหามีหลายวิธี ขึ้นกับชนิดของาน วิธีการแก้ปัญหาอย่างหนึ่งอาจแก้ปัญหาอีกอย่างหนึ่งไม่ได้ และการแก้ปัญหาอาจจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น จึงควรยึดหลักการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้เสียเวลา หลงทาง และสับสน วิธีการแก้ปัญหาแต่ละวิธีมีความเหมาะสมกับงานแตกต่างกันไป ก่อนที่จะใช้วิธีแก้ปัญหา ด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ จะขอยกวิธีการแก้ปัญหาอย่างมีขั้นตอนโดยทั้วไป มาให้พิจารณาดูจำนวนหนึ่ง
                                                                    
1.1 หลักการแก้ปัญหาตามวิธีวิทยาศาสตร์ ( Scientific method ) วิธีการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีที่มีมานานมากแล้ว ซึ่งใช้ศึกษาค้นคว้าความรู้ใหม่ๆ ตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน จนเกิดความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ด้านต่างๆ มากมายอย่างทุกวันนี้ หลักการแก้ปัญหา ทางวิทยาศาสตร์ มีดังนั้
1. เก็บข้อมูลเบื้องต้น โดยการศึกษา สังเกตเหตุการณ์หรือปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ
2. ตั้งสมมิฐานเกี่ยวกับสาเหตุ แนวความคิด หรือทฤษฎี ของการเกิดปรากฎการณ์และทางการแก้ปัญหา
3. พัฒนาการวิธีการที่จะทดสอบสมมติฐานหรือทฤษฎีตามข้อ 2
4. ทำการทดลองเพื่อพิสูจน์สมมติฐานหรือทฤษฎี โดยตั้งวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน อาจมีการตั้งกลุ่มทดลองภายใต้การควบคุม เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ควบคุม ทำการบันทึกผลการทดลองที่สังเกตพบไว้อย่างละเอียดแม่นยำ
5. วิเคราะห์ผลการทดลอง เพื่อหาคำตอบว่าสมมติฐานที่ตั้งไว้นั้นเป็นจริงหรือไม่
6. เขียนรายงานสรุปผลคำตอบที่ได้ผลที่ได้จากวิธีนี้เป็นที่ยอมรับกันมาก เนื่องจากเป็นวิธีที่พิสูจน์ได้ เห็นผลชัดเจน และ มีวัตถุประสงค์เด่นชัด แต่ผลที่ได้อาจขาดความคิดสร้างสรรค์ หรือบางครั้งสำหรับปัญหาง่ายๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ขั้นตอนมากมายเช่นนี้ และปัญหาบางอย่างก็อาจใช้ไม่ได้เลย เพราะทดลองไม่ได้
1.2 หลักการแก้ปัญหาตามวิธีการทางวิศวกรรม ( Engineering problem solving ) วิธีเหมาะกับการแก้ปัญหาในการออกแบบผลิตภัณฑ์ สินคัา หรือเพื่อสร้างสิ่งใหม่หรือเพื่อการแก้ปัญหาในเชิงวิศวกรรม มีขั้นตอนดังนี้
1. วิเคราะห์ปัญหา กำหนดรายละเอียดปัญหาให้ชัดเจนเป็นข้อๆ กำหนดความ ต้องการและข้อจำกัดในการแก้ปัญหาเป็นข้อๆวิเคราะห์ข้อมูลว่ามีข้อมูลใดที่มีอยุ่แล้วและใช้ได้อะไรคือสิ่งที่ยังไม่รู้และต้องการรู้
2. สร้างแบบจำลองวิธีการแก้ปัญหา( Define model ) อาจเป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ หรือบางกรณีต้องสร้างแบบจำลองย่อส่วนจากของจริง คิดค้นหาสูตรสมการที่จะใช้แก้ปัญหา เก็บข้อมูลที่ต้องใช้แก้ปัญหา
3. คำนวณหาคำตอบโดยใช้แบบจำลอง วิธี และสมกาในข้อ 2 ตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้ว่าถูกต้องเหมาะสมหรือไม่
4. ผลลัพธ์หรือคำตอบที่ได้มีเหตุผลว่าถูกต้องเหมาะสม จึงนำไปปฏิบัติ
1.3 วิธีการแก้ปัญหาแบบสร้างสรรค์ ( Creative problem solving ) วิธีนี้เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ใช้แนวคิดแบบสร้างสรรค์ สามารถนำไปใช้งานได้กว้างขวาง ซึ่งมีหลายวิธีเช่นกันในที่นี้ขอยกตัวอย่างวิธีของ Sidney J. Parness ดังนี้
1. ใช้ความสังเกตอย่างพินิจพิเคราะห์ คือให้ตื่นตัวตกใจ ใช้ตาดูหูฟัง เพื่อให้มองเห็นปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และมองเห็นวิธีแก้ปัญหาที่อาจเป็นไปได้
2. ค้นหาความจริง โดยเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น ทำการศึกษา ทดลอง หรือทำวิธีใดๆที่เหมาะสม
3. ค้นหาปัญหา เพื่อดูว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร สาเหตุของการเกิดคืออะไร
4. ค้นหาแนวความคิดในการแก้ปัญหา โดยการคิดค้นวิธีการแก้ปัญหาหลายๆวิธีที่อาจใช้ได้ อย่าเพิ่งด่วนสรุปวิธีนั้นวิธีนี้ดีที่สุด ทำการประเมินและปรับปรุงแนวคิดให้ดีขึ้น
5. ค้นหาวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสม โดยการกำหนดเกณฑ์ในการเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งจากวิธีที่คิดไว้หลายๆวิธี เช่น เลือวิธีที่เร็ว ราคาถูก และดีเพียงพอกับความต้องการ
6. ค้นหาวิธีการยอมรับวิธีแก้ปัญหาที่เลือกไว้ โดยหาวิธีที่จะทำให้ตนเองและผู้เกี่ยวข้องยอมรับวิธีแก้ปัญหาที่เลือกไว้ร่วมกัน และตกลองแก้ปัญหาด้วยวิธีนั้นข้อเสียของวิธีนี้คือ ไม่กล่าวถึงวิธีการนำไปปฏิบัติ หรือการทดสอบวิธีการแก้ปัญหาที่
เลือกไว้ก่อนนำไปใช้จริง แต่มีจุดเด่นตรงที่ชาวยสรางแนวทางการแก้ปัญหาที่หลากหลาย ที่ผู้ใช้เลือกได้โดยอิสระ
1.4 การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อนด้วยวิธีการต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ส่วนมากจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าช่วยเพื่อเพิ่มความรวดเร็ว ถูกต้อง และสามารถทำซ้ำได้ง่าย ในกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าช่วยแก้ปัญหา จำเป็นต้องปรับรูปแบบวิธีการทำงานให้เหมาะสมกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
วิธีการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นวิธีคล้ายกับการแก้ปัญกาทางวิศวกรรมมาก แต่ในการนำระบบคอมพิวเตอร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานใดๆ ก็ตาม จะต้องมีการวิเคราะห์ปัญหาและศึกษาความเป็นไปได้ให้รอบคอบเสียก่อน ทั้งนี้เนื่องจากคอมพิวเตอร์ไม่ใช้เครื่องมือวิเศษที่จะแก้ปัญหได้ทุกเรื่อง
นอกจากนี้ยังจะต้องมีการศึกษาถึงความคุ้มค่าในการลงทุน เพื่อไม่ให้เป็นการลงทุนที่เสียเปล่า ต้องเลือกวิธีการแก้ปัญหาให้เหมาะสมกับงาน จัดหาเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ไม่เกินความจำเป็น
การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เหมาะกับระบบงานที่ต้องทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งซากและมีปริมาณงานมากหรืองานที่ต้องการความรวดเร็วในการคำนวณเกินกว่าคนธรรมดาจะทำได้ วิธีการโดยทั้วไปคือ ปรับเปลี่ยนวิธีการหรือระบบการทำงานแบบเดิม มาใช้ระบบงานที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยทำงานเป็นบางส่วน หรือทั้งหมด เท่าที่สามารถจะทำแทนคนได้
ดังนั้น การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ จึงต้องมีการสร้างระบบงานคอมพิวเตอร์ขึ้นมาช่วยทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีการโดยทั้วไป เราอาจไม่ต้องสร้างระบบงานทั้งหมดขึ้นใหม่ แต่พัฒนาระบบงานเดิมให้เป็นระบบงานที่ทำงานโดยคอมพิวเตอร์นิยมเรียกกันว่า การพัฒนาระบบงานคอมพิวเตอร์
1.4.1 ขั้นตอนการพัฒนาระบบงานคอมพิวเตอร์ ตามหลักวิชาว่าด้วยการวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน ( System analysis and design ) มีการจัดขั้นตอนการพัฒนาระบบงานคอมพิวเตอร์และสารสนเทศดังนี้
1. วิเคราะห์ระบบงานหรือปัญหา ( System or problem analysis ) รวมถึงรายละเอียดข้อมูลที่ต้องใช้ โดยการศึกษาระบบงานเดิมอย่างละเอียด
2. กำหนดรายละเอียดของความต้องการของผู้ใช้ระบบงาน ( Require-ments specification )
3. ออกแบบขั้นตอนวิธีการทำงานของระบบใหม่
4. ตรวจสอบขั้นตอนวิธีให้ได้ผลตามความต้องการ
5. ออกแบบโปรแกรม ( Program design )
6.เขียนชุดคำสั่ง ( Coding )
7. ทดสอบโปรแกรม ( Testing ) และหาที่ผิดพลาด ( Debuugging )
8. นำโปรแกรมและระบบงานไปใช้งานจริง ( Implementation oroperation )
9. บำรุงรักษา ติดตามผล แก้ไขปรับปรุง ( Software maintenance and improvement ) เพื่อให้ทันสมัยใช้ได้ตลอดไป จะเห็นว่าการพัฒนาระบบสารสนเทศ จำเป็นจะต้องรู้ขั้นตอนวิธีการทำงานของระบบเดิม ตามด้วยการหาวิธีการแก้ปัญหาโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์และโปรแกรม จากนั้นจึงออกแบบวิธีการทำงานในระบบใหม่ให้ระเอียดซึ่งจะต้องมีการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขึ้นมาช่วยทำงานบางส่วน หรือทั้งหมด
1.4.2 ขั้นตอนการพัฒนาระบบงานโดยการจัดซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป ในกรณีที่เราไม่ได้พัฒนาโปรแกรมเอง แต่เป็นการจัดซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้งาน เราอาจปรับเปลี่ยนขั้นตอนมาเป็นดังนี้
1. วิเคราะห์ปัญหาและระบบงานที่จะทำ ( System or problem analysis ) รวมถึงรายละเอียดข้อมูลที่มีอยุ่
2. กำหนดรายละเอียดของความต้องการของผู้ใช้ระบบงาน ( Require-ments specification )
3. ออกแบบขั้นตอนวิธีการทำงานของระบบใหม่
4. ตรวจสอบขั้นตอนวิธีว่าให้ผลตรงกับที่ต้องการ
5. จัดหาโปรแกรมที่ทำงานตรงตามความต้องการ โดยการซื้อหรือจ้างทำ
6. นำโปรแกรมและระบบงานไปใช้จริง ( Implementation oroperation )
7. บำรุงรักษาระบบ ติดตามผลและแก้ไขปรับปรุง ( Software mainte-mance and improvement )
1.5 เครื่องมือในการวิเคราะห์ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา ในการออกแบบขั้นตอนวิธีการทำงานเพื่อการแก้ปัญหาต่างๆ หรือการเขียนโปรแกรม จำเป็นต้องใช้เครื่องมือบางอย่างช่วยในการออกแบบและวิเคราะห์วิธีการเพื่อให้ง่ายต่อการมองภาพกระบวนการทำงานของระบบ สามารถตรวจสอบหาที่ผิด รวมทั้งหาทางปรับปรุงให้ดีกว่าเดิมได้ เครื่องมือดังกล่าวที่ง่ายที่สุด ได้แก่ ผังงาน หรือโฟลชาร์ต ( Flowchart ) และรหัสจำลอง ( Pseudo Code )
1.5.1 ผังงาน ( Flowchart ) เป็นเครื่องมือช่วยออกแบบ และวิเคราะห์การทำงานของโปรอกรมแบบรูปภาพขั้นพื้นฐานที่สุด ช่วยให้สามารถมองเห็นภาพของความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการต่างๆ ของระบบงานหรือโปรแกรมได้ง่าย และสามารถตรวจสอบว่าวิธีการนั้น ถูกต้อง มีประสิทธิภาพในการทำงาน และมีความซับซ้อนหรือไม่ ทำให้นำไปเขียนเป็นโปรแกรมได้อย่างถูกต้องซึ่งเหมาะสมสำหรับผู้เริ่มต้นศึกษากลไกของโปรแกรมอย่างละเอียดรวมทั้งเพื่อเป็นการศึกษาคิดค้นขั้นตอนวิธี( algorithm ) ที่ละเอียดอ่อน และยังจัดว่าเป็นกระบวนการที่ไม่ใหญ่และซับซ้อนมากนัก ผังงานประกอบด้วยสัญลักษณ์
จุดเริ่มต้น / สิ้นสุดของโปรแกรม
ลูกศรแสดงทิศทางการทำงานของโปรแกรมและการไหลของข้อมูล
ใช้แสดงคำสั่งในการประมวลผล หรือการกำหนดค่าข้อมูลให้กับตัวแปร
แสดงการอ่านข้อมูลจากหน่วยเก็บข้อมูลสำรองเข้าสู่หน่วยความจำหลักภายในเครื่องหรือการแสดง ผลลัพธ์จากการประมวลผลออกมา
การตรวจสอบเงื่อนไขเพื่อตัดสินใจ โดยจะมีเส้นออกจารรูปเพื่อแสดงทิศทางการทำงานต่อไป เงื่อนไขเป็นจริงหรือเป็นเท็จ
แสดงผลหรือรายงานที่ถูกสร้างออกมา
แสดงจุดเชื่อมต่อของผังงานภายใน หรือเป็นที่บรรจบของเส้นหลายเส้นที่มาจากหลายทิศทางเพื่อ
จะไปสู่การทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน
การขึ้นหน้าใหม่ ในกรณีที่ผังงานมีความยาวเกินกว่าที่จะแสดงพอในหนึ่งหน้า
ปัจจุบันโปรแกรมช่วยเขียนผังงานทำให้เขียนได้ง่ายขึ้น เช่น SmartDraw ,Microsoft Visio 2002 ซึ่งหาข้อมูลและโปรแกรมตัวอย่างได้ที่เว็บไซต์ต่อไปนี้
http://www.smartdrae.com/resourcers/centers/flowcharts/index.htm
http://www.microsoft.com/office/visio/default.asp
1.5.2 รหัสลำลอง ( Pseudo Code ) เป็นเครื่องช่วยในการออกแบบระบบงานและโปรแกรมอีกแบบหนึ่ง โดยเขียนขั้นตอนวิธีเป็น ประโยคสั้นๆ กะทัดรัด แต่สื่อความหมายชัดเจน เรียงกันโดยมีหมายเลขกำกับแต่ละขั้นตอน ให้ทำงานตามลำดับหมายเลขและเงื่อนไขที่เขียนไว้ ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการออกแบบโปรแกรมให้พิมพ์ตัวเลขจาก 1 ถึง N โดยที N เป็นตัวเลขใด ๆ ก็ได้ที่มากกว่าหรือเท่ากับ 1 เราอาจเขียนวิธีทำงาน ที่เรียกว่ารหัสจำลองได้ดังนี้
1. ป้อนค่า N จากแป้นพิมพ์
2. กำหนดให้ตัวแปร I เป็นตัวเลขที่จะต้องพิมพ์ เริ่มต้นที่ I = 1
3. พิมพ์ค่า I ที่กระดาษของเครื่องพิมพ์
4. ตรวจสอบว่า I = N แล้วหรือไม่
5. ถ้า I ไม่เท่ากับ N ให้เพิ่มค่า I = I+1 จากนั้นกลับไปทำตามขั้นตอนที่ 3
6. ถ้า I = N แสดงว่างานเสร็จแล้ว จบโปรแกรม
ให้สังเกตขั้นตอนที่ 5 เมื่อทำมาถึงขั้นนี้ และ I ไม่เท่ากับ N เราต้องย้อนกลับไปทำขั้นที่ 3 เรื่อยๆเป็นการวน ( Looping ) จนกว่า I จะเท่ากับ N เมื่อ I = N เราจะลงไปทำขั้นตอนที่ 6 ซึ่งเป็นการจบงาน
สำหรับผู่ผึกจนชำนาญแล้ว อาจเขียนผังงาน หรืออาจใช้รหัสจำลองอย่างเดียวก็ได ้แต่การมองเห็นภาพระบบงานของรหัสจำลองมีน้อยกว่า อาจเข้าใจยากและไม่ค่อยสร้างความประทับใจเวลานำเสนอต่อมวลชน

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558

มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ชื่อ นางสาวกนกพรรณ สกุล ชูเชื้อ เลขที่17 ห้องม.5/10
กลุ่มที่ 6
ปัญหาที่นักเรียนศึกษา การสื่อสารระหว่างคนไทยและชาวต่างชาติ
ที่มาและความสำคัญของปัญหา
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันการศึกษาระหว่างชาวต่างชาติซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดปัญหาเช่น อดีตที่ไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของประเทศต่างๆ ใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร การศึกษาของไทย ความกลัวในการที่จะฟัง พูด กลัวผิดไวยากรณ์ กลัวสำเนียง  และประสบการณ์แต่ละคน ซึ่งสิ่งเหล่าเป็ฯสิ่งสำคัญที่จะนำไปใช้ในอนาคต กล่าวถึง การเปิดประชาคมอาเซียนซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร 

วัตถุประสงค์
1.เพื่อศึกษาปัญหาเกี่ยวการสื่อสารภาษาอังกฤษ
2.เพื่อเรียนรู้วิธีการสร้างสารคดีการสื่อสารของคนไทยและชาวต่างชาติ

ผลการศึกษา (ให้เขียนตามวัตถุประสงค์ )
1.ได้ศึกษาเกี่ยวกับการสื่อสารภาษาอังกฤษ
2.ได้เรียนรู้การสร้างสารคดีการสื่อสารของคนไทยและชาวต่างชาติ


เสนอแนวคิดในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบด้วยองค์ความรู้จากการค้นพบ
  การศึกษาการสื่อสารเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ฝึกฝนวันละอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง และมีความกล้าไม่อายสิ่งใด ฝึกหัดโดยใช้ผู้คนในบ้าน
นักเรียนได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการเรียนวิชา IS1
1.ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำblogger และสามารถนำมาพัฒนาเป็นผลงานของตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไป
2.เรียนรู้เกี่ยวกับการเขียนบทภาพยนตร์
3.ได้รู้ถึงมุมกล้องในการถ่ายทำภาพยนตร์ว่าแต่ละบทควรใช้มุมกล้องแบบใด
4.ทราบถึงวิธีการสร้างผลงานเป็นลำดับขั้นตอน
5.เรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่ม
6.สร้างความรักและความสามัคคีในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
7.มีความตระหนักและเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาที่ตนศึกษา และนำไปพํฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุด

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจําวัน

ประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจําวัน

ประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจําวัน
การทักทาย (Greetings)
การทักทาย คำทักทายที่ควรทราบมีดังนี้
Good morning สวัสดี (เช้าถึงเที่ยงวัน)
Good afternoon สวัสดี (หลังเที่ยงวันถึงช่วงเย็น)
Good evening สวัสดี (ช่วงเย็นถึงกลางคืน)
Good day สวัสดี (ตลอดวัน)
Hello/Hi สวัสดี (เพื่อนหรือคนรู้จักทั่วไป)
การสอบถามทุกข์-สุขสำนวนที่ใช้สอบถามว่าสบายดีหรือ ได้แก่
How are you? (เน้นเรื่องสุขภาพ)
How are you going? (อังกฤษ) How are you doing? (อเมริกัน)
How’s it going? (เน้นความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน)
How have you been? (ในกรณีนาน ๆ เจอกันที)
How’s your life?
How’s everything?
How are things (with you)?
การตอบ ตัวอย่างการตอบ ได้แก่
(I'm) fine, thanks. And you? สบายดี ขอบคุณ แล้วคุณล่ะ
Good. สบายดี
Very well สบายดีมาก
I'm O.K. ก็ดี
So so. ก็งั้น ๆ
Not (too) bad ก็ไม่เลว
Great! เยี่ยม, วิเศษ
การอำลา (Leave Taking)
การอำลา ตัวอย่างคำกล่าวลา ได้แก่
See you again….. พบกันใหม่ ….. (เป็นทางการ) เช่น
(เช่น See you again tomorrow/next time/next week/next month/next year/on Monday. เป็นต้น)
See you later/soon/then. เดี๋ยวเจอกันนะ
Have a nice day/time. โชคดีนะ/วันนี้ขอให้มีความสุขนะ
Have a nice holiday. ขอให้มีความสุขในวันหยุดนะ
Have a nice weekend. ขอให้มีความสุขในวันสุดสัปดาห์นะ
Have a good time. ขอให้มีความสุขนะ/ขอให้เที่ยวให้สนุกนะ
Have a good/nice trip ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะ
Take care (of yourself) ดูแลตัวเองด้วย/รกษาเนื้อรักษาตัวด้วย ั
Sweet dreams / Sleep well ฝันดีนะ/นอนหลับให้สบายนะ
Good luck./Be successful. โชคดี/ขอให้ประสบความสำเร็จ
Good night. ราตรีสวัสดิ์/ไปแล้วนะ (ใช้ลาตอนกลางคืน)
Goodbye/Bye ไปแล้วนะ/ไปล่ะ
การแนะนำตนเองและผู้อื่น (Introducing Oneself and Others)
การแนะนำตนเอง
Let me introduce myself. ขอแนะนำตัวเอง
May I introduce myself? ขอแนะนำตัวเอง
I’m/My name’s Udom Chaiyo. ผมชื่ออุดม ไชโย
I'm Thai. ฉันเป็นคนไทย
I'm from Thailand. ผมมาจากประเทศไทย
I'm a student at …….. College. ฉันเป็นนักเรียนที่วิทยาลัย…..
I study at …………… College. ผมเรียนอยู่ที่วิทยาลัย …..
I’m teaching at …………… College. ผมสอนอยู่ที่วิทยาลัย …..
I’m a teacher of ….. at ….. College. ผมเป็นครูวิชา …..ที่วิทยาลัย …..
I work at ….. College. ฉันทำงานที่วิทยาลัย …..
I live in Chonburi. ผมอยู่ชลบุรี
I'm in the first year. ผมอยู่ปี 1
I'm a second year student. ฉันเป็นนักเรียนปี 2
I study ………………. ผมเรียนสาขา ……..
My field of study is …………. สาขาวิชาที่ผมเรียนคือ …………
My college is in Rayong. วิทยาลัยฉันอยู่ที่ระยอง
อื่น 
Certificate of Vocational Education ประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.)
Diploma of Vocational Education ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.)
การแนะนำผู้อื่น
This is Peter. นี้คือปีเตอร์
I'd like you to know Peter. ผมอยากให้คุณรู้จักปีเตอร์
I'd like to introduce you to Wanna.ผมอยากแนะนำคุณให้รู้จักวรรณา
I want to introduce my friend May. ผมอยากจะแนะนำเมย์เพื่อนผม
I want you to meet my friend John.ผมอยากให้คุณพบจอห์นเพื่อนผม
Here's Sawat and that's Suphon. นี่สวัสดิ์ และนั่นสุพล
คำแสดงความยินดีที่ได้รู้จัก ได้แก่
(It’s) nice/good to meet/see you.
(I’m) pleased to meet/see you.
(I'm) glad to meet/see you.
It's a pleasure to meet you.
การตอบ ให้เพิ่มคำว่า too ที่หมายถึง'เช่นเดียวกัน’ เช่น
Nice to see you, too. ยินดีที่ได้รู้จักเช่นเดียวกัน
การให้และขอข้อมูลส่วนบุคคล (Giving and Asking for Personal Information)
ข้อมูลส่วนตัว
How old are you? คุณอายุเท่าไร
(I'm) seventeen. ผมอายุ 17 ปี
How tall are you? คุณสูงเท่าไร
I'm 170 centimeters tall. ฉันสูง 170 ซ.ม.
How much do you weigh? คุณหนักเท่าไร
(I weigh) 65 kilograms. (ผมหนัก) 65 กิโลกรัม
ข้อมูลครอบครัว
How many people are there in your family?มีกี่คนในครอบครัวคุณ
How many brothers and sisters do you have? คุณมีพี่น้องกี่คน
I have 2 brothers/sisters. ผมมีพี่น้องผู้ชาย/หญิง 2 คน
I don't have any brothers or sisters. ผมไม่มีพี่น้องเลย
There are 7 people in my family. ครอบครัวผมมี 7 คนด้วยกัน
My grandparents live with us. ปู่ ย่า (ตา ยาย)อยู่กับเราด้วย
What does your father do? พ่อคุณทำงานอะไร
My father is a teacher. พ่อผมเป็นครู
Does your mother work? แม่คุณทำงานหรือเปล่า
She works with government. แม่เป็นข้าราชการ
She doesn't work. แม่ไม่ได้ทำงาน
What do you want to be (in the future)? คุณอยากเป็นอะไร(ในอนาคต)
I want to be a pilot. ผมอยากเป็นนักบิน
I haven't decided yet. ยังไม่ได้ตัดสินใจ
การขอบคุณ (Thanking)
การขอบคุณ สำนวนที่ใช้ในการขอบคุณ ได้แก่
Thanks you (very much). ขอบคุณ (มาก)
Thanks (a lot). ขอบใจ (มาก)
Thank you for …………….. ขอบคุณสำหรับ เช่น
Thank you for your present. ขอบคุณสำหรับของขวัญ
Thank you for everything. ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง
Thank you for your help. ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณ
I really appreciate that. ผมรู้สึกประทับใจจริง ๆ
การตอบรับคำขอบคุณ
You’re welcome. ไม่เป็นไร
Don't mention it. ไม่เป็นไร
Not at all. ไม่เป็นไร
It's nothing. ไม่เป็นไร
That's all right. / That's O.K. ไม่เป็นไร
(It's) a pleasure. ด้วยความยินดี
My pleasure./With pleasure. ด้วยความยินดี
Don’t worry (about it). อย่ากังวลไปเลย
No problem. ไม่มีปัญหา
การขอโทษ (Apologizing)
การขอโทษ สำนวนที่ใช้ในการขอโทษ ได้แก่
I’m sorry. ผมขอโทษ
I’m sorry. I’m late. ขอโทษที่มาช้า
I’m sorry I troubled you. ขอโทษที่ทำให้ต้องลำบาก
Excuse me, please. ขอโทษครับ/ค่ะ
Excuse me for interrupting. ขอโทษที่รบกวน
Excuse me for a moment. ขอโทษขอเวลาสักครู่
การให้อภัย สำนวนที่ใช้ในการตอบรับคำขอโทษ
That’s all right. ไม่เป็นไร (ตอบรับคำขอโทษ)
Don’t worry (about it). อย่ากังวลไปเลย
No problem. ไม่มีปัญหา
That's O.K. หรือ I'm O.K. ไม่เป็นไร หรือ ผมไม่เป็นไร

การถามเวลา (Asking for Time)

การถาม
Excuse me. What time is it? ขอโทษครับ กี่โมงแล้วครับ
Could you tell me the time, please? ขอโทษครับกี่โมงแล้ว
Do you have a time? กี่โมงแล้ว (คุณมีนาฬิกาไหม)
การตอบ
(It's) seven o'clock. 7 นาฬิกา
Six twenty/Twenty past six 6.20
Five to four/Three fifty-five 3.55
A quarter past eight/Eight fifteen 8.15
Half past ten/Ten thirty 10.30
A quarter to ten/Nine forty-five 9.45
Noon เที่ยงวัน
Midnight เที่ยงคืน
In the morning ตอนเช้า
In the afternoon ตอนบ่าย
In the evening ตอนเย็น
At night ตอนกลางคืน

 เหตุผลที่เด็กไทย ภาษาอังกฤษรั้งท้ายในอาเซียน

asean 39

5 เหตุผลที่เด็กไทย ภาษาอังกฤษรั้งท้ายในอาเซียน

แม้ว่าเด็กไทยจะเรียนหนัก แต่นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ภาษาอังหฤษของคนไทยดีขึ้น เพราะระดับภาษาอังกฤษของคนไทยถูกจัดอยู่ในระดับต่ำมาก และเหตุผลที่ทำให้เด็กไทยมีระดับความรู้ด้านภาษาอังกฤษอยู่ในเกณฑ์น่าห่วงมีด้วยกัน 5 ข้อสำคัญคือ
1. ระบบการศึกษาไทยเน้นท่องจำ โดยมีอาจารย์เป็นศูนย์กลาง เขียนศัพท์และแกรมม่าบนกระดานดำ และให้นักเรียนอ่านและจำ ไม่มีการวิเคราะห์พูดคุย หรือตั้งคำถาม-คำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่เรียน เพราะกลัวถูกกล่าวหาว่าโง่
2. ไม่มีการสอนคิดแบบวิเคราะห์ ระบบการสอนของไทยสอนแบบให้รับรู้ ไม่ต้องคิดและไม่ต้องถามว่าสิ่งที่เรียนนั้นถูกต้องแล้วหรือยัง สิ่งที่ถูกคือต้องหัดคิดวิเคราะห์เพื่อแยกเยอะโครงสร้างซับซ้อนของภาษา จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด หลงเชื่อข่าวปลอม หรือข่าวลวง โดยไม่มีการคิดวิเคราะห์อยู่บ่อยๆ จนทำให้คนไทยไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ กลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมาไม่รู้จักจบ
778464-topic-ix-1
5 เหตุผลที่เด็กไทย ภาษาอังกฤษรั้งท้ายในอาเซียน
3. ครูไทยไร้คุณภาพ การเรียนการสอนที่ดีควรเริ่มจากครูผู้สอนก่อน เริ่มจากครูไทยต้องมีความสามารถด้านภาษาที่ได้มาตรฐาน ใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างดีเยี่ยม
4. ครูต่างชาติไม่ได้มาตรฐาน นอกจากครูไทยแล้ว โรงเรียนบางแห่งมีแนวคิดจ้างครูต่างชาติ แต่เนื่องจากไม่สามารถจ่ายเงินเดือนสูงมาก ทำให้บางครั้งก็ได้ครูที่ไม่มีมาตรฐาน บางครั้งครูที่จ้างมาจบปริญญาแต่ไม่ได้เรียนด้านการสอน ไม่มีวุฒิปริญญา หรือร้ายแรงที่สุดคือใช้ปริญญาปลอมมาสมัครเป็นครู
5. กระทรวงศึกษาธิการ ควรปรับเปลี่ยนนโยบายที่จะช่วยพัฒนาการศึกษาไทยให้ได้มาตรฐาน และสามารถดึงดูดคนที่มีความสามารถมาทำงานเป็นครู
พอได้รู้แบบนี้แล้วก็ทำให้เราต้องตะหนักถึงการเรียนภาษาอังกฤษของเด็กไทยให้มากขึ้นเพื่อการสื่อสารกับชาติต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียนที่จะเข้ามาอีกไม่นานนี้

EF เผยอันดับทักษะภาษาอังกฤษของทั่วโลก ไทยแย่สุดเป็นที่ 2 รองลิเบีย


ผลการจัดอันดับดังกล่าว ได้มาจากผลการทดสอบเพื่อวัดระดับภาษาอังกฤษในประชาชนวัยผู้ใหญ่จาก 54 ประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก หรือภาษาเดียว และผลปรากฏว่า 5 อันดับประเทศที่คนมีทักษะภาษาอังกฤษดีที่สุด ได้แก่ สวีเดน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และนอร์เวย์ ตามลำดับ ขณะที่ 5 อันดับประเทศที่คนมีทักษะภาษาอังกฤษแย่ที่สุด ได้แก่ ลิเบีย ไทย ซาอุดีอาระเบีย ปานามา และโคลอมเบีย

Education First

          และถ้าหากจัดอันดับทักษะภาษาอังกฤษ โดยเปรียบเทียบกันในประเทศเอเชียเท่านั้น ผลการจัดอันดับจะปรากฏออกมาดังนี้


          -ทักษะภาษาอังกฤษระดับสูง
          1. สิงคโปร์ (อันดับ 12)
          2. มาเลเซีย (อันดับ 13)

          -ทักษะภาษาอังกฤษระดับปานกลาง

          3. อินเดีย (อันดับ 14)
          4. ปากีสถาน (อันดับ 17)
          5. เกาหลีใต้ (อันดับ 21)
          6. ญี่ปุ่น (อันดับ 22)
          7. ฮ่องกง (อันดับ 25)

          -ทักษะภาษาอังกฤษระดับต่ำ

          8. อินโดนีเซีย (อันดับ 27)
          9. ไต้หวัน (อันดับ 30)
          10. เวียดนาม (อันดับ 31)
          11. จีน (อันดับ 36)

          -ทักษะภาษาอังกฤษระดับต่ำมาก

          12. ไทย  (อันดับ 53)

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทักษะทางด้านการออกเสียง

ทักษะทางด้านการออกเสียง

ส่วนที่สองก็คือทักษะทางด้านการออกเสียงให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นประเด็นหลักของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งจะว่ากันในรายละเอียดในบทต่อ ๆ ไป ทักษะนี้ก็แบ่งเป็นข้อย่อย ๆ ได้ดังนี้
1)    เสียงพยัญชนะ (consonant)  เสียงพยัญชนะส่วนใหญ่คนไทยทำได้ แต่ก็มีหลายเสียงที่เราต้องหัด เข่น r, v, th เป็นต้น
2)    เสียงสระ (vowel) ข้อนี้ไม่มีอะไรยากนัก  สระในภาษาไทยมีเยอะและครอบคลุมสระในภาษาอังกฤษเกือบทั้งหมด ถ้าว่ากันในแง่วิชาการ บางเสียงก็ไม่ถึงกับถูกต้องเป๊ะ แต่ก็ถือว่าใช้ได้ และไม่มีผลต่อการสื่อสารนัก  ส่วนใหญ่ที่เราออกเสียงสระผิดเป็นเพราะไม่รู้ หรือพูดตามกันผิด ๆ เช่นคำว่า medley ที่เคยยกตัวอย่างมา อ่านว่า เมดลี่ แต่เราดันพูดว่า เมดเล่ เป็นต้น
3)    เสียงลงท้ายของคำ (ending sound)  ข้อนี้สำคัญมากครับ  ภาษาไทยเรามีแต่เสียงลงท้ายที่เนื่องด้วยตัวสะกด ซึ่งครอบคลุมแค่ส่วนน้อยของภาษาอังกฤษ และการออกเสียงก็ไม่เน้นมากเหมือนเขา  เสียงพยัญชนะลงท้ายในภาษาอังกฤษนั้น เขาออกเสียงค่อนข้างเด่นชัด ไม่แพ้เสียงพยัญชนะขึ้นต้นเลยก็ว่าได้  อันนี้เป็นทักษะที่เราต้องฝึกให้มี โดยเฉพาะเสียงลงท้ายที่ไม่มีในตัวสะกดของไทย เพราะว่า ถ้าเราไม่ออกเสียงลงท้าย หรือออกผิด คนอาจฟังเป็นคนละเรื่องเลยไปเลยก็ได้  มีแต่คนไทยด้วยกันเท่านั้นที่ฟังออกกันเอง  เช่น lock กับ log     fuel กับ fuse   Mar กับ ma   fire กับ find  แต่ละคู่นี่ออกเสียงต่างกันมาก
4)    เสียงเชื่อมคำ (linking sound)  คือ เสียงที่เกิดจากการพูดคำสองคำติดกัน เมื่อคำต้นลงท้ายด้วยพยัญชนะ  แต่คำหลังขึ้นต้นด้วยเสียงสระ เสียงพยัญชนะจะกล้ำกับเสียงสระ ตัวอย่างที่เรามักคุ้นเคยกันดี และพูดถูก  คือ  thank you  พูดเหมือน แธ็ค-ควิ้ว ไม่ใช่ แธ็ค-ยู   come on  พูดเหมือน คัม-มอน ไม่ใช่ คัม-ออน   หลักการนี้ใช้กับการพูดทั่วไปเลยครับ ไม่ใช่แค่คำบางคำ  เช่น this is a car   พูดติดกันกลายเป็น ดีส-สี้ด-เซ่-คาร์
ข้อนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องยาก ขัดกับความรู้สึกคนไทย เพราะภาษาไทยพูดคำแต่ละคำแยกกัน  แต่จริง ๆ แล้วไม่ยากเท่าที่คิด  กุญแจสำคัญ คือ ถ้าเราทำเสียงลงท้ายได้  เสียงเชื่อมคำก็จะค่อย ๆ เกิดขึ้นตามธรรมชาติ  ถึงแม้ภาษาไทยไม่มีลักษณะเสียงเช่นนี้ แต่เรามีธรรมชาติของมันซ่อนอยู่ สังเกตจากการออกเสียงคำไทยบางคำ เช่น คำว่า สิบเอ็ด  เวลาเราพูดเร็ว ๆ แล้วไม่ระวัง บางคนก็พูดเป็น สิบเบ็ด  ก็คือเสียงของ บ ไปเชื่อมกับพยางค์ที่สองนั่นเอง  ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับเสียงเชื่อมคำในภาษาอังกฤษเลยครับ
อีกอย่าง คือ ถ้าเราไม่ออกเสียงเชื่อมคำ ฝรั่งส่วนใหญ่ก็พอฟังออก  ส่วนมากเป็นปัญหาที่เราฟังเขาไม่รู้เรื่อง มากกว่าเขาฟังเราไม่รู้เรื่อง  เพราะฉะนั้น ปล่อยไปตามธรรมชาติ ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง  เบาบ้างหนักบ้าง ไม่เป็นไร ไม่ต้องเครียดนัก
5)    การเน้นเสียงพยางค์ (stress)  ข้อนี้สำคัญมากเช่นกัน คำแต่ละคำมีการเน้นพยางค์ไม่เหมือนกัน  ส่วนใหญ่เน้นแค่พยางค์เดียว แต่บางคำก็เน้นสองพยางค์ มีพยางค์ที่เน้นหนักที่หนึ่ง กับหนักที่สอง  เช่น information อ่านว่า [อิน]-ฟอร์-[[เม้]]-ชั่น  ผมขอใช้สัญลักษณ์ [] เพื่อแสดงการเน้นนะครับ  [[ ]]  ก็เน้นมากกว่า  [ ]  ใครมีพจนานุกรมที่ออกเสียงได้ ลองฟังเสียงของคำนี้ดู
ข้อนี้คนไทยทำได้ไม่ยาก แต่ปัญหาอยู่ที่การเน้นผิดพยางค์ หรือ ไม่เน้นพยางค์ไหนเลย  ตัวอย่างเช่น คำว่า effect ซึ่งบางคนยืมมาใช้ทับศัพท์ในภาษาไทย เวลาพูดในภาษาอังกฤษก็ไปออกเสียงเน้นพยางค์แรก หรือทั้งสองพยางค์ว่า เอฟเฟค แต่จริง ๆ แล้วคำนี้ต้องเน้นที่พยางค์ที่สอง โดยออกเสียงว่า  -อิ-[เฟคท]- หรือ -เอะ-[เฟคท]-  เพราะฉะนั้นเวลาเรียนคำศัพท์ใหม่  ๆ ให้สนใจไม่ใช่เฉพาะออกเสียงพยัญชนะ และสระเท่านั้น  เราต้องสนใจว่าเน้นพยางค์ไหนด้วย
6)    ท่วงทำนอง (intonation)  คือ การเน้นคำ หรือทำเสียงสูงต่ำเมื่อพูดเป็นประโยค  (หรือไม่เต็มประโยคก็ได้) ตัวอย่างเช่น ประโยคคำถามที่ต้องตอบใช่หรือไม่ใช่  ต้องลงท้ายด้วยเสียงสูง  เช่น  Are you Thai?   คำแรกเป็นคำที่เสริม (functional word) โดยทั่วไปก็พูดแบบไม่ต้องเน้น  ส่วนคำหลังสุดต้องออกเสียงตรี หรือถ้าคนถาม ถามแบบแปลกใจนิด ๆ (แบบว่าหน้าไม่เหมือนไทย คนไทยหรือวะ) จะขึ้นสูงเป็นเสียงจัตวาเลยก็ได้  เรื่องนี้ยังมีรายละเอียดอีก ซึ่งผมจะได้กล่าวถึงในบทที่ 19
ที่เล่ามาในบทนี้ ก็เหมือนเป็นแผนผังในภาพรวมนะครับ  เวลาเล่ากันในรายละเอียดตอนต่อไป ๆ จะได้ไม่หลงกัน  องค์ประกอบทั้งหมดที่สำคัญมันก็มีอยู่แค่นี้เอง