วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประวัติส่วนตัวของ นางสาวกนกพรรณ ชูเชื้อ





ประวัติส่วนตัว







ชื่อ นางสาว กนกพรรณ  นามสุกล  ชูเชื้อ ชื่อเล่น  ติ้ว
อายุ 15 ปี เกิดวันที่ 23 11 2541 ภูมิลำเนา เกาะสมุย
ที่อยู่ 248/15 ซ.5 ม.1 ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี 84330
ที่อยู่ปัจจุบัน  87/19 ม.5 ถ.วิภาวดี ซ.6 ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี 84000
รายได้ผู้ปกครอง 10000 บาท ต่อเดือน
เบอร์โทรศัพท์ 0945726085
ประวัติการศึกษา
อ.1 โรงเรียนวัดภูเขาทอง
อ.2-ป.3 โรงเรียนเซนต์โยเซฟเกาะสมุย
ป.4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ
ม.1-3 โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
เกรดเฉลี่ย 3.55
วิชาที่ชอบ เคมี คณิต พลศึกษา
กีฬาที่ชอบ แบดมินตัน
รายการกีฬาที่สนใจ  การแข่งขันฟุตบอล
ทีมฟุตบอล ฟุตบอลพรีเมียร์ลึก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด  ฟุตบอลโลก บราซิล  ฟุตบอลลาลีกาสเปน  บาเซ่โลน่า
นักฟุตบอลที่ชอบ  แอดนาน ยานูซาจ และ เนมาร์ เจอาร์
ประเทศที่เคยไป นิวซิแลนด์

อาชีพทีใฝ่ฝัน  ทันตแพทย์ วงการบังเทิง และ กีฬา  ธุรกิจกีฬา
คติประพจน์  

สมุนไพร

สมุนไพร






สมุนไพร หมายถึง "ผลิตผลธรรมชาติ ได้จาก พืช สัตว์ และ แร่ธาตุ ที่ใช้เป็นยา หรือผสมกับสารอื่นตามตำรับยา เพื่อบำบัดโรค บำรุง ร่างกาย หรือใช้เป็นยาพิษ"[1] หากนำเอาสมุนไพรตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปมาผสมรวมกันซึ่งจะเรียกว่า ยา ในตำรับยา นอกจากพืชสมุนไพรแล้วยังอาจประกอบด้วยสัตว์และแร่ธาตุอีกด้วย เราเรียกพืช สัตว์ หรือแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของยานี้ว่า เภสัชวัตถุ พืชสมุนไพรบางชนิด เช่น เร่ว กระวาน กานพลู และจันทน์เทศ เป็นต้น พืชเหล่านี้ถ้านำมาปรุงอาหารเราจะเรียกว่า เครื่องเทศ สมุนไพร เป็นเสมือนของขวัญที่ธรรมชาติมอบให้กับมวลมนุษยชาติ มนุษย์เรารู้จักใช้สมุนไพร ในด้านการบำบัดรักษาโรค ตั่งแต่ยุคกำเนิดสมุนไพร[2] ในยุคที่เรียกว่ายุค "นีแอนเดอร์ทัล" (Neanderthal) หรือเมื่อราว 250,000 ปีมาแล้ว
ความหมาย
คำว่า สมุนไพร ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง พืชที่ใช้ ทำเป็นเครื่องยา สมุนไพรกำเนิดมาจากธรรมชาติและมีความหมายต่อชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะ ในทางสุขภาพ อันหมายถึงทั้งการส่งเสริมสุขภาพและการรักษาโรค ความหมายของยาสมุนไพรในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ได้ระบุว่า ยาสมุนไพร หมายความว่า ยาที่ได้จากพฤกษาชาติสัตว์หรือแร่ธาตุ ซึ่งมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพ เช่น พืชก็ยังเป็นส่วนของราก ลำต้น ใบ ดอก ผลฯลฯ ซึ่งมิได้ผ่านขั้นตอนการแปรรูปใด ๆ แต่ในทางการค้า สมุนไพรมักจะถูกดัดแปลงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ถูกหั่นให้เป็นชิ้นเล็กลง บดเป็นผงละเอียด หรืออัดเป็นแท่งแต่ในความรู้สึกของคนทั่วไปเมื่อกล่าวถึงสมุนไพร มักนึกถึงเฉพาะต้นไม้ที่นำมาใช้เป็นยาเท่านั้น

ลักษณะ
พืชสมุนไพร นั้นตั้งแต่โบราณก็ทราบกันดีว่ามีคุณค่าทางยามากมายซึ่ง เชื่อกันอีกด้วยว่า ต้นพืชต่าง ๆ ก็เป็นพืชที่มีสารที่เป็นตัวยาด้วยกันทั้งสิ้นเพียงแต่ว่าพืชชนิดไหนจะมีคุณค่าทางยามากน้อยกว่ากันเท่านั้น

พืชสมุนไพร หรือวัตถุธาตุนี้ หรือตัวยาสมุนไพรนี้ แบ่งออกเป็น 5 ประการ ดังนี้

รูป ได้แก่ ใบไม้ ดอกไม้ เปลือกไม้ แก่นไม้ กระพี้ไม้ รากไม้ เมล็ด
สี มองแล้วเห็นว่าเป็นสีเขียวใบไม้ สีเหลือง สีแดง สีส้ม สีม่วง สีน้ำตาล สีดำ
กลิ่น ให้รู้ว่ามรกลิ่น หอม เหม็น หรือกลิ่นอย่างไร
รส ให้รู้ว่ามีรสอย่างไร รสจืด รสฝาด รสขม รสเค็ม รสหวาน รสเปรี้ยว รสเย็น
ชื่อ ต้องรู้ว่ามีชื่ออะไรในพืชสมุนไพรนั้น ๆ ให้รู้ว่า ขิงเป็นอย่างไร ข่า เป็นอย่างไร ใบขี้เหล็กเป็นอย่างไร
ประเภทของยาเภสัชวัตถุ[แก้]
บทบาททางเศรษฐกิจ
สมุนไพรเป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนิน โครงการ สมุนไพรกับสาธารณสุขมูลฐาน โดยเน้นการนำสมุนไพรมาใช้บำบัดรักษาโรคใน สถานบริการสาธารณสุขของรัฐมากขึ้น และ ส่งเสริมให้ปลูกสมุนไพรเพื่อใช้ภายในหมู่บ้านเป็นการสนับสนุนให้มีการใช้สมุนไพรมากยิ่งขึ้น อันเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยประเทศชาติประหยัดเงินตราในการสั่งซื้อยาสำเร็จรูปจากต่างประเทศได้ปีละเป็นจำนวนมาก

การศึกษาเพิ่มเติม
ปัจจุบันมีผู้พยายามศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนายาสมุนไพรให้สามารถนำมาใช้ในรูปแบบที่สะดวกยิ่งขึ้น เช่น นำมาบดเป็นผงบรรจุแคปซูล ตอกเป็นยาเม็ด เตรียมเป็นครีมหรือยาขี้ผึ้งเพื่อใช้ทาภายนอก เป็นต้น ในการศึกษาวิจัยเพื่อนำสมุนไพรมาใช้เป็นยาแผนปัจจุบันนั้น ได้มีการวิจัยอย่างกว้างขวาง โดยพยายามสกัดสารสำคัญจากสมุนไพรเพื่อให้ได้สารที่บริสุทธิ์ ศึกษาคุณสมบัติทางด้านเคมี ฟิสิกส์ของสารเพื่อให้ทราบว่าเป็นสารชนิดใด ตรวจสอบฤทธิ์ด้านเภสัชวิทยาในสัตว์ทดลองเพื่อดูให้ได้ผลดีในการรักษาโรคหรือไม่เพียงใด ศึกษาความเป็นพิษและผลข้างเคียง เมื่อพบว่าสารชนิดใดให้ผลในการรักษาที่ดี โดยไม่มีพิษหรือมีพิษข้างเคียงน้อยจึงนำสารนั้นมาเตรียมเป็นยารูปแบบที่เหมาะสมเพื่อทดลองใช้ต่อไป

การเก็บรักษาสมุนไพร
1.ควรเก็บยาสมุนไพรไว้ในที่แห้งและเย็น สถานที่เก็บสมุนไพรนั้นต้องมีอากาศถ่ายเทสะดวกเพื่อขับไล่ความอับชื้นที่อาจจะก่อให้เกิดเชื้อราในสมุนไพรได้

2.สมุนไพรที่จะเก็บรักษานั้นต้องแห้งไม่เปียกชื้น หากเสี่ยงต่อการขึ้นราได้ ควรนำสมุนไพรนั้นออกมาตากแดดอย่างสม่ำเสมอ

3.ในการเก็บสมุนไพรนั้นควรแยกประเภทของสมุนไพรในการรักษาโรค เพื่อป้องกันการหยิบยาผิดซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้

4.ควรตรวจดูความเรียบร้อยในการเก็บสมุนไพรบ่อย ๆ ว่ามีสัตว์หรือแมลงต่าง ๆ เข้าไปทำลายหรือก่อความเสียหายกับสมุนไพรที่เก็บรักษาหรือไม่ ถ้ามีควรหาทางป้องกันเพื่อรักษาคุณภาพของสมุนไพร[3]

การใช้สมุนไพรที่ถูกต้อง ควรปฏิบัติดังนี้[แก้]
1. ใช้ให้ถูกต้น สมุนไพรมีชื่อพ้องหรือซ้ำกันมากและบางท้องถิ่นก็เรียกไม่เหมือนกัน จึงต้องรู้จักสมุนไพร และใช้ให้ถูกต้น

2.ใช้ให้ถูกส่วน ต้นสมุนไพรไม่ว่าจะเป็นราก ใบ ดอก เปลือก ผล เมล็ด จะมีฤทธิ์ไม่เท่ากัน บางทีผลแก่ ผลอ่อนก็มีฤทธิ์ต่างกันด้วย จะต้องรู้ว่าส่วนใดใช้เป็นยาได้

3.ใช้ให้ถูกขนาด สมุนไพรถ้าใช้น้อยไป ก็รักษาไม่ได้ผล แต่ถ้ามากไปก็อาจเป็นอันตราย หรือเกิดพิษต่อร่างกายได้

4.ใช้ให้ถูกวิธี สมุนไพรบางชนิดต้องใช้สด บางชนิดต้องปนกับเหล้า บางชนิดใช้ต้มจะต้องรู้วิธีใช้ให้ถูกต้อง

5.ใช้ให้ถูกกับโรค เช่น ท้องผูกต้องใช้ยาระบาย ถ้าใช้ยาที่มีฤทธิ์ผาดสมานจะทำให้ท้องผูกยิ่งขึ้น 

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ดิน

ดิน






ดิน หมายถึง วัตถุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการสลายตัวทางกายภาพ และทางเคมีของหินและแร่ รวมกับสารอินทรีย์ ที่เกิดจากการสลายตัวของซากพืชซากสัตว์เป็นผิวชั้นบนที่หุ้มห่อโลก ซึ่งดินจะมีลักษณะและคุณสมบัติต่างกันไปในที่ต่างๆ ตามสภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ วัตถุต้นกำเนิด สิ่งมีชีวิตและระยะเวลาการสร้างตัวของดิน

ดินเหนียว เป็นดินที่มีเนื้อละเอียด ในสภาพดินแห้งจะแตกออกเป็นก้อนแข็งมาก เมื่อเปียกน้ำแล้วจะมีความยืดหยุ่น สามารถปั้นเป็นก้อนหรือคลึงเป็นเส้นยาวได้ เหนียวเหนอะหนะติดมือ เป็นดินที่มีการระบายน้ำและอากาศไม่ดี แต่สามารถอุ้มน้ำ ดูดยึด และแลกเปลี่ยนธาตุอาหารพืชได้ดี เหมาะที่จะใช้ทำนาปลูกข้าวเพราะเก็บน้ำได้นาน

ดินร่วน เป็นดินที่เนื้อดินค่อนข้างละเอียดนุ่มมือในสภาพดินแห้งจะจับกันเป็นก้อนแข็งพอประมาณ ในสภาพดินชื้นจะยืดหยุ่นได้บ้าง เมื่อสัมผัสหรือคลึงดินจะรู้สึกนุ่มมือแต่อาจจะรู้สึกสากมืออยู่บ้างเล็กน้อย เมื่อกำดินให้แน่นในฝ่ามือแล้วคลายมือออก ดินจะจับกันเป็นก้อนไม่แตกออกจากกัน เป็นดินที่มีการระบายน้ำได้ดีปานกลาง จัดเป็นเนื้อดินที่มีความเหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก

ดินทราย เป็นดินที่มีอนุภาคขนาดทรายเป็นองค์ประกอบอยู่มากกว่าร้อยละ 85 เนื้อดินมีการเกาะตัวกันหลวมๆ มองเห็นเป็นเม็ดเดี่ยวๆ ได้ ถ้าสัมผัสดินที่อยู่ในสภาพแห้งจะรู้สึกสากมือ เมื่อลองกำดินที่แห้งนี้ไว้ในอุ้งมือแล้วคลายมือออกดินก็จะแตกออกจากกันได้ แต่ถ้ากำดินที่อยู่ในสภาพชื้นจะสามารถทำให้เป็นก้อนหลวมๆ ได้ แต่พอสัมผัสจะแตกออกจากกันทันที


ปุ๋ย

ปุ๋ย

ปุ๋ย เป็นวัสดุที่ให้สารอาหารกับพืช หรือ ช่วยปรับปรุงดินให้เหมาะสมกับการเพาะปลูก

พืชต้องการธาตุอาหาร 16 ชนิด ได้แก่ ออกซิเจน ไฮโดรเจน คาร์บอน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม กำมะถัน แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี แมงกานีส ทองแดง โบรอน โมลิบดินัม และคลอรีน ในจำนวนนี้ ออกซิเจน ไฮโดรเจน คาร์บอน พืชได้รับจากน้ำและอากาศ ส่วนไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม พืชต้องการในปริมาณมากเมื่อเทียบกับธาตุอื่นๆ (ซึ่งถูกจัดเป็นธาตุอาหารหลักหรือธาตุปุ๋ย) และในดินมักมีไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูก จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มเติมธาตุเหล่านี้โดยการให้ปุ๋ย

ปุ๋ยแบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ





1. ปุ๋ยเคมี คือ ปุ๋ยที่เป็นอนินทรียสาร อาจเป็นปุ๋ยเชิงเดี่ยว ปุ๋ยเชิงผสม และปุ๋ยเชิงประกอบ ตัวอย่างปุ๋ยเคมีเช่น ยูเรีย, ปุ๋ยเม็ด 16-20-0 แต่ไม่รวมถึงสารที่ใช้สำหรับปรับปรุงดิน เช่น ซีโอไลต์, ภูไมท์ และ สารต่างๆ ที่มีคุณสมบัติโครงสร้างทางฟิสิกส์ของดินให้ดีขึ้น ปุ๋ยเคมีแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ



   1.1 ปุ๋ยเดี่ยวหรือแม่ปุ๋ย คือ ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารหลักพืช คือ N P K เป็นส่วนประกอบของปริมาณธาตุอาหารจะคงที่
        1.2 ปุ๋ยผสม คือ ปุ๋ยที่ได้จากการเอาแม่ปุ๋ยหลายๆ ชนิด มารวมกันเพื่อให้ได้ปริมาณธาตุอาหารหลักของปุ๋ยตามต้องการเพื่อให้เหมาะตามสภาพดินในแต่ละพื้นที่
2. ปุ๋ยอินทรีย์ คือ ปุ๋ยที่ได้มาจากสารประกอบทางธรรมชาติ ธาตุอาหารที่ได้ส่วนใหญ่ต้องเกิดจากการย่อยสลายจากจุลินทรีย์ก่อน เป็นกระบวนการผลิตสารอาหารจากธรรมชาติ ปุ๋ยอินทรีย์ส่วนใหญ่มักจะใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงคุณภาพดิน แบ่งชนิดของปุ๋ยอินทรีย์ได้ 3 ประเภท คือ

   2.1 ปุ๋ยหมัก คือ ปุ๋ยที่เกิดจากเศษพืชต่างๆ เช่น หญ้าและใบไม้ ต้นถั่ว ต้นข้าวโพด ซังข้าวโพด เปลือกถั่วต่างๆ ใบจามจุรี ฟางข้าว ผักตบชวา เมื่อนำมากองหมักไว้จนเน่าเปื่อยก็ใช้เป็นหมักได้

        2.2 ปุ๋ยคอก คือ ปุ๋ยที่ได้จากสิ่งที่สัตว์ขับถ่ายออกมา เช่น อุจาจาระ ปัสสาวะของสัตว์ต่างๆ ปุ๋ยคอกเป็นปุ๋ยที่มีประโยชน์ในการปรับปรุงสภาพทางกายภาพของดิน ช่วยลดอัตราการพังทลายของดิน เพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดิน เป็นต้น
        2.3 ปุ๋ยพืชสด คือ ปุ๋ยที่ได้จากการปลูกพืชบำรุงดิน เช่น พวกพืชตระกูลถั่ว เมื่อพืชเจริญเติบโตถึงระยะหนึ่ง เราก็ไถกลบในขณะที่พืชยังเขียวและสดอยู่ ซึ่งมักจะไถกลบในช่วงที่พืชกำลังออกดอก เพราะเป็นช่วงที่เหมาะสมแก่การให้ธาตุอาหารแก่พืชมากที่สุด
3. ปุ๋ยชีวภาพ คือ การนำจุลินทรีย์ที่มีชีวิตมาใช้เพื่อเพิ่มปริมาณธาตุอาหาร หรือเพิ่มความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารในดิน ปุ๋ยชีวภาพอาจมีบทบาทในการปรับปรุงบำรุงดินทางชีวภาพ ทางกายภาพ และทางชีวเคมี และปุ๋ยชีวภาพยังหมายความรวมถึงหัวเชื้อจุลินทรีย์

4. ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ คือ การนำข้อดีของปุ๋ย 2 ชนิด มาผสมกัน โดยนำปุ๋ยอินทรีย์ที่ผ่านกระบวนการควมคุมคุณภาพการผลิต โดยนำปุ๋ยอินทรีย์และแร่ธาตุต่างๆ เช่น คีเลต ธาตุอาหารเสริม สารบำรุงดินมาผ่านการฆ่าเชื้อและเพาะเชื้อจุลินทรีที่เหมาะสม นำมาผสมกับปุ๋ยอินทรีย์และหมักเพาะเชื้อจุลินทรีย์ที่ผสมลงไปจนถึงระยะเวลาที่พอเหมาะจึงสามารถนำไปใช้งานได้ เป็นปุ๋ยที่เหมาะแก่การทำเกษตรอินทรีย์


ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/


พืชตระกูลถั่ว

พืชตระกูลถั่ว



พืชตระกูลถั่ว เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ Fabaceae หรือ Leguminosae เป็นพืชกลุ่มใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากพืชวงศ์ทานตะวัน (Compositae) และพืชวงศ์กล้วยไม้ มีสมาชิกประมาณ 550 สกุล 18,000 สปีชีส์ พบกระจายไปทั่วโลก

ผลของVicia angustifolia
พืชในวงศ์นี้แยกได้เป็น 3 วงศ์ย่อยคือ Mimosoideae Ceasalpinioideae และ Papilionatae อย่างไรก็ตาม นักพฤกษศาสตร์บางกลุ่มเช่นในหนังสือ The Family of Flowering Plants ที่เขียนโดย J. Hutchinson เมื่อ พ.ศ. 2516 และหนังสือ Plant Systematics ที่เขียนโดย S.B. Jones Jr. Luchsinger และ A.E. Luchsinger เมื่อ พ.ศ. 2522 ได้จัดให้พืชวงศ์ถั่วทั้งหมดอยู่ในอันดับ Leguminales หรือ Fabales แบ่งเป็น 3 วงศ์ คือ Mimosaceae Ceasalpinaceae และ Papilionaceae [1] สำหรับการจัดจำแนกของกรมป่าไม้ ยังถือตามแบบที่จัดให้พืชตระกูลถั่วอยู่ในวงศ์ Leguminosae และมี 3 วงศ์ย่อย [1]

ลักษณะทั่วไป
ส่วนใหญ่พืชตระกูลถั่วเป็นไม้พุ่ม ไม้ยืนต้น หรือไม้ล้มลุก ใบเรียงสลับ มักเป็นใบประกอบแบบ 3 ใบ หรือใบประกอบแบบขนนก อาจเป็นชนิดขนนกชั้นเดียวหรือขนนก 2 ชั้น มีหูใบบนก้านใบและบนราคิสอาจมีต่อมหรือหนาม ใบแผ่กางในเวลากลางวันและหุบในเวลากลางคืน ดอกมีทั้งดอกเดี่ยวและดอกช่อแบบต่างๆ เช่น ช่อกระจะ ช่อเชิงลด ช่อกระจุกแน่น และช่อแยกแขนง [1] ลักษณะของดอกแตกต่างกันตามวงศ์ย่อย [1] ผลมีลักษณะเป็นฝักแตกได้ หรือแตกไม่ได้ บางชนิดมีลักษณะค่อนข้างกลม มีปีกแผ่ออกไปโดยรอบ เรียกว่าผลแบบซามารา เช่น ผลประดู่ [1]

ลักษณะดอกของแต่ละวงศ์ย่อยเป็นดังนี้

วงศ์ย่อย Mimosoideae เป็นช่อกระจุกแน่น ช่อกระจะ หรือช่อเชิงลด ดอกย่อยขนาดเล็ก เรียงชิดกันแน่น สมมาตรแบบรัศมี กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ เชื่อติดกันตรงโคนเป็นหลอดสั้นๆ หรือแยกจากกัน เกสรตัวผู้เป็นโครงสร้างที่เด่นของดอก มีเท่ากลีบดอกหรือมากกว่า ก้านเกสรตัวผู้ยาว เกสรตัวเมียมีรังไข่ตั้งตรง และอาจมีก้านชูรังไข่สั้นๆ ตัวอย่างเช่น ดอกกระถิน ดอกไมยราบ ตัวอย่างพืชในกลุ่มนี้เช่น ไมยราบต้น ไมยราบเถา


ดอกของWisteria sinensisซึ่งเป็นดอกในวงศ์ย่อย Papilionatae
วงศ์ย่อย Papilionoideae ดอกเป็นแบบสมมาตรด้านข้าง กลีบเลี้ยง 5 กลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด กลีบดอก 5 กลีบเป็นแบบพาพิลิโอเนเซียส เกสรตัวผู้ 10 อัน แยกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งมี 9 อันเชื่อติดกัน ก้านเกสรตัวผู้เชื่อมติดกันตลอดความยาว อีกกลุ่มมี 1 อัน แยกเป็นอิสระ เกสรตัวเมียมีรังไข่ยาวแบนตั้งตรง หรืออาจจะโค้งเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น ดอกแค ตัวอย่างพืชในวงศ์นี้เช่น หิ่งเม่น โสนขน ถั่วผี
วงศ์ย่อย Ceasalpinioideae ดอกเป็นแบบสมมาตรด้านข้าง แต่บางชนิดคล้ายกับเป็นสมมาตรแบบรัศมี กลีบเลี้ยง 5 กลีบแยกเป็นอิสระ กลีบดอก 5 กลีบเป็นแบบซีซาลพิเนเซียส เกสรตัวผู้ส่วนมากมี 10 อันหรือน้อยกว่า แยกกันเป็นอิสระ บางชนิดมีเกสรตัวผู้ที่เป็นหมัน ก้านเกสรตัวผู้มักยาวไม่เท่ากัน เกสรตัวเมียยาวและโค้งเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น ดอกชงโค ดอกทรงบาดาล ตัวอย่างพืชในวงศ์นี้ ได้แก่ ชุมเห็ด มะขาม



การนำพืชตระกูลถั่วไปใช้ประโยชน์
การใช้ประโยชน์จากพืชตระกูลถั่วที่สำคัญคือการใช้เป็นปุ๋ยพืชสด ซึ่งการใช้ปุ๋ยพืชสดจากพืชตระกูลถั่วมีได้ 2 แบบคือ

ปุ๋ยพืชสดสำหรับพืชไร่บนดินดอน พืชตระกูลถั่วที่นำมาใช้ได้ ต้องมีเมล็ดแข็งแรง งอกง่าย โตเร็ว แข่งกับวัชพืชได้ดี ออกดอกได้เร็ว ง่ายต่อการไถสับกลบลงในดิน ต้านทานต่อโรคพืช พืชตระกูลถั่วที่นิยมใช้เป็นปุ๋ยพืชสดคือ ปอเทือง ถั่วพุ่มและถั่วพร้า
ปุ๋ยพืชสดสำหรับในนาข้าวและที่ลุ่ม ซึ่งต้องมีคุณสมบัติเพิ่มเติมคือ องทนต่อสภาพน้ำขัง อายุสั้น ไม่ไวต่อแสง นิยมใช้พืชที่เกิดปมบนลำต้น เช่น โสนแอฟริกัน

ในปัจจุบันมีความพยายามนำวัชพืชที่เป็นพืชตระกูลถั่วมาใช้เป็นปุ๋ยพืชสด เพราะวัชพืชเหล่านี้จะติดปมรากได้ดีกว่า ไม่ต้องคลุกเชื้อไรโซเบียม มีเมล็ดมากอยู่แล้วตามธรรมชาติ [3] วัชพืชตระกูลถั่วที่ถูกเสนอให้ใช้เป็นปุ๋ยพืชสด ได้แก่ โสนขน ซึ่งพบทั่วไปตามที่ลุ่ม เหมาะที่จะใช้เป็นปุ๋ยพืชสดในนาข้าว

ที่มา
http://th.wikipedia.org

ไม้ใหญ่หรือไม้ยืนต้น

ไม้ใหญ่หรือไม้ยืนต้น
ไม้ใหญ่หรือไม้ยืนต้น     ไม้ประเภทนี้มีลำต้นเป็นไม้เนื้อแข็งขนาดใหญ่ มีลำต้นหลัก ตั้งตรง ต้นเดียวแล้วจึงแตกกิ่งก้านบริเวณยอด โตเต็มที่สูงเกิน 5 เมตร มีอายุยืนยาวหลายปี เช่น สน เต็ง รัง แดง สัก ประดู่ นนทรี จามจุรี มะขาม  ไม้ยืนต้น คือต้นไม้ที่มีลำต้นเดี่ยว ทอดสูง มีกิ่งก้านใบอยู่ตอนบนหรืออยู่ตั้งแต่กลางลำต้นขึ้นไป มีคุณสมบัติเด่นในการให้ร่มเงาและความร่มรื่น ทั้งนี้การแบ่งประเภทของไม้ยืนต้นขึ้นอยู่กับชนิดของต้นไม้นั้น ๆ หรือแบ่งตามความสูงได้ 3 ขนาด คือ สูง กลาง และต่ำ ต้นไม้นั้นมีความสูงตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป ขนาดกลางมีตวามสูง 10 เมตรลงมา และขนาดต่ำคือ 5 เมตรลงมา นอกจากนี้ไม้ยืนต้นยังมีลักษณะการขึ้นลำต้นเป็นลำเดียวและเป็นกอ (หลายลำ) ได้ด้วย       






ที่มา
http://www.thaigoodview.com/node/72614



กลุ่มของพืช

                                                                                            กลุ่มของพืช

                พืชสามารถแบ่งได้เป็น พืชล้มลุก , พืช 2 ฤดู และ พืชยืนต้น โดยจะแบ่งตามอายุของพืช
พืชล้มลุก
                ตัวอย่าง คือ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เล่ย์ และ ข้าวโอ๊ต จะมีอายุในการเจริญฤดูเดียว(ปีเดียว) เริ่มตั้งแต่เป็นเมล็ด ภายในเวลา 1 ปี เมล็ดจะพัฒนาเป็น ราก ลำต้น ใบ ดอก ผล และ เมล็ด สุดท้ายต้นไม้ก็จะตาย
พืช 2 ฤดู
                เป็นพืชที่โตภายใน 2 ปี ในปีแรก จากเมล็ด จะสร้าง ราก ลำต้น และ ใบ ในปีต่อมา จะสร้างดอก และผล ก่อนที่พืชจะตาย
                Sugar beet , Swedes , Turnips  เป็นตัวอย่างของพืช 2 ฤดู ถึงแม้ว่า ผู้ปลูกจะถือว่าพืชเหล่านี้เป็นพืชล้มลุก เพราะการเก็บเกี่ยวจะทำในปีแรก เมื่อพืชสะสมอาหารไว้ที่ราก
พืชยืนต้น
                พวกนี้จะมีอายุมากกว่า 2 ปีขึ้นไป เมื่อโตเต็มที่ พืชพวกนี้จะผลิตเมล็ด ทุกปี เช่น หญ้า และ          พืชตระกูลถั่ว
                พืชในกลุ่มนี้จะสามารถแบ่งได้อีกเป็น พืชในเลี้ยงคู่ และ พืชใบเลี้ยงเดี่ยว โดยแบ่งตามโครงสร้างของเมล็ด
พืชใบเลี้ยงคู่
                ตัวอย่างที่ดีที่สุดของพืชใบเลี้ยงคู่คือ ถั่วปากอ้าเพราะมีขนาดใหญ่และง่ายต่อการศึกษา ถ้าฝักของถั่วปากอ้าเปิดออก เมื่อถั่วใกล้สุก จะเห็นได้ว่าเมล็ดแต่ละเมล็ดภายในฝักจะถูกเชื่อมด้วยก้านสั้นๆ เรียกว่า    ก้านเมล็ด อาหารเลี้ยงเมล็ดที่มาจากต้นถั่วทั้งหมดจะผ่ามาทางก้านเมล็ด
                เมื่อเมล็ดสุกและแยกออกจากฝัก จะมีรอยแผลสีดำ เรียกว่าขั้วเมล็ด ซึ่งเป็นที่ที่เชื่อมติดกับก้านเมล็ด บริเวณใกล้ๆขั้วเมล็ด จะมีรูเล็กๆเรียกว่ารูไมโครไพล์
                ถ้าทำให้เมล็ดชุ่มชื่นด้วยการแช่น้ำ จะทำให้เปลือกหุ้มเมล็ดหลุดออกมาง่ายๆ ที่เหลือทั้งหมดจะเป็นต้นอ่อน ที่ประกอบด้วยใบไม้สองใบ หรือว่า ใบเลี้ยงคู่ ที่มีอาหารสำหรับต้นอ่อน


พืชใบเลี้ยงเดี่ยว
                พืชในชั้นนี้ธัญพืชและหญ้าทั้งหมด จะสำคัญมาก
                เมล็ดข้าวสาลี คือตัวอย่างของพืชนี้ มันไม่ใช่เมล็ดที่แท้จริง(มันควรจะเรียกว่าผลไม้เมล็ดเดียว) เมล็ดที่สมบูรณ์ของธัญพืชจะเต็มพื้นที่ผนังด้านในของเมล็ดหรือผลไม้
                ผนังผลไม้นี้ถูกสร้างขึ้นจากชั้นที่แตกต่างกัน ซึ่งจะถูกแยกออกเป็นชั้นได้ เช่น รำ และสิ่งเหล่านี้เป็นอาหารสัตว์ที่มีคุณค่า
                ภายในส่วนใหญ่ของเมล็ดจะประกอบด้วยแป้งที่เป็นอาหารของต้นอ่อน ต้นอ่อนจะอยู่ตรงบริเวณพื้นที่ยกขนาดเล็กที่ฐานของเมล็ด ใบเลี้ยงธัญพืชเป็นเหมือนโล่ที่แยกระหว่างต้นอ่อน กับ อาหารเลี้ยงต้นอ่อน ที่ติดกับฐานของใบเลี้ยงธัญพืชเป็นรากของต้นอ่อน รากนั้นมีการหุ้มด้วยเยื่อ เรียกว่า เยื่อหุ้มรากแรกเกิด

ที่มา

 http://www.mygreengardens.com

พืชน้ำ

พืชน้ำ

พืชน้ำ หรือ พรรณไม้น้ำ (อังกฤษ: aquatic plant, aquatic weed, water plant) เป็นพืชที่อาศัยหรือเจริญเติบโตในน้ำ หรือมีช่วงหนึ่งที่เจริญเติบโตอยู่ในน้ำ อาจอยู่ใต้น้ำทั้งหมดหรือมีบางส่วนขึ้นสู่บริเวณผิวน้ำ ลอยอยู่ตามผิวน้ำ เจริญเติบโตบริเวณที่มีน้ำตามแนวชายฝั่ง พืชที่เจริญเติบโตในที่มีน้ำขัง พื้นที่ชื้นแฉะ ทั้ง น้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็ม โดยสามารถแยกเป็นสี่ประเภทหลัก



พืชใต้น้ำ  (submerged plant) เป็นพืชที่เจริญเติบโตใต้น้ำทั้งหมด หรือหมายถึงพืชที่ทั้งราก ลำต้น ใบ อยู่ใต้น้ำทั้งหมด ทั้งนี้รากอาจยึดกับพื้นดินใต้น้ำหรือไม่ก็ได้ โครงสร้างลำต้นและใบจะมีช่องว่างมากสำหรับใช้เป็นที่สะสมก๊าซ และช่วยให้ลอยตัวอยู่ในน้ำได้ ส่วนใบมักจะกรอบและบาง ไม่มีปากใบและคิวติน พืชจำพวกนี้พบมากในกลุ่มสาหร่ายต่างๆ


พืชโผล่เหนือน้ำ  (emerged plant) เป็นพืชที่เจริญเติบโตในน้ำเพียงบางส่วน เช่น รากและลำต้น ส่วนรากอาจยึดพื้นดินใต้น้ำหรือไม่ก็ได้ มีใบหรือดอกโผล่พ้นน้ำหรืออาจอยู่ที่ผิวน้ำ บางชนิดอาจมีทั้งใบใต้น้ำและใบเหนือน้ำในลำต้นเดียวกัน ลำต้นมีลักษณะแข็งแรงกว่าพืชใต้น้ำมีคิวตินมีปากใบและคิวติน พบมากในพืชกลุ่มบัวต่างๆ ผักตับเต่า แว่นแก้ว สาหร่ายญี่ปุ่น


พืชลอยน้ำ  (floating plant) เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้โดยลอยอยู่บริเวณผิวน้ำ รากจะอยู่ใต้น้ำ ส่วนของลำต้น ใบ และดอก อยู่เหนือน้ำหรือผิวน้ำ สามารถลอยไปมาได้ หากพืชเหล่านี้อยู่บริเวณน้ำตื้นรากของพืชชนิดนี้อาจยึดอยู่กับพื้นดินใต้น้ำได้ พืชจำพวกนี้ได้แก่ ผักตบไทย ผักตบชวา จอกหูหนู กระจับ ผำ ผักบุ้ง





พืชชายน้ำ  (merginal plant) เป็นพืชที่เจริญเติบโตบริเวณริมน้ำหรือริมตลิ่ง ทั้งบริเวณหนองน้ำ ริมคลอง บริเวณที่มีน้ำขัง โดยรากจะฝังในดิน ส่วนลำต้น ใบ และดอก จะอยู่เหนือน้ำ 

อุปกรณ์การเกรษตร

อุปกรณ์การเกษตร

อุปกรณ์การเกษตรเป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวยให้การปฏิบัติงานเกษตรมีความสะดวกและรวดเร็ว ลดแรงของเกษตรกร อุปกรณ์การเกษตรแบ่งตามชนิดวัสดุมีทั้งที่ทำจากโลหะ ทำจากพลาสติก ทำจากไฟเบอร์ หรือแม้แต่ทำจากวัสดุธรรมชาติ หากแบ่งอุปกรณ์การเกษตรตามลักษณะการใช้งานจะสามารถแบ่งได้เป็นอุปกรณ์งานหนักและอุปกรณ์งานเบา แบ่งตามลักษณะใช้งาน ได้แก่ เครื่องมือช้งานกับดิน เครื่องมือใช้งานในการให้น้ำพืช และเครื่องมือที่ใช้ในการดูแลตัดแต่งกิ่ง ตัวอย่างอุปกรณ์การเกษตร เช่น จอบขุด เสียมพรวน บัวรดน้ำ กรรไกตัดกิ่ง รถไถ่ รถเกี่ยว เป็นต้น อุปกรณ์การเกษตรมีให้ได้ศึกษาและฝึกทักษะปฏิบัติในวิทยาลัยเกษตรกรรม

ส้อมพรวน
ส้อมพรวน ใช้ในการพรวนดิน เหมาะกับดินที่ร่วนซุย เนื่องจากส้อมพรวนไม่ใช่อุปกรณ์เกษตรประเภทใช้งานหนัก เมื่อใช้แล้วควรล้างทำความสะอาด เช็ดให้แห้งแล้วทาด้วยน้ำมันเพื่อกันสนิม

เสียม
ใช้ในการขุดหลุมเตรียมเพื่อปลูกต้นไม้ เหมาะในการขุดหลุมขนาดเล็ก เมื่อใช้แล้วควรล้างทำความสะอาด เช็ดให้แห้งแล้วทาด้วยน้ำมันเพื่อกันสนิม เก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย 555

พลั่ว
พลั่วตัก ใช้ในการตักดิน ตักปุ๋ย หรือขุดหลุมขนาดเล็ก ๆ ไม่ลึก เมื่อใช้แล้วควรล้างทำความสะอาด เช็ดให้แห้งแล้วทาด้วยน้ำมันเพื่อกันสนิม เก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย

คราด
คราดหญ้า ใช้ในการย่อยดินให้เป็นก้อนเล็ก ๆ และใช้เก็บเศษหญ้าบนหน้าดิน เมื่อใช้แล้วควรล้างทำความสะอาด เช็ดให้แห้งแล้วทาด้วยน้ำมันเพื่อกันสนิม เก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย

บัวรดน้ำ
บัวรดน้ำ ใช้ในการรดน้ำเหมาะกับต้นกล้าหรือต้นไม้ที่มีขนาดเล็กลำต้นอ่อน น้ำที่ออกจากฝักบัวจะเป็นสายขนาดเล็ก ช่วยให้น้ำกับพืชได้ทั่วถึงและต้นไม้ไม่บอบช้ำ เมื่อใช้แล้วล้างทำความสะอาดเก็บเศษหญ้าออกจากบัวรดน้ำเพื่อไม่ให้อุดตันฝักบัวเมื่อนำไปใช้รดน้ำครั้งต่อไป

กรรไกรตัดกิ่ง
กรรไกรตัดกิ่ง ใช้สำหรับตัดแต่งกิ่งไม้ขนาดเล็ก ตัดใบพืชที่แห้ง เป็นโรคทิ้ง ตัดแต่งต้นไม้ที่มีใบหนาเกินไป เมื่อใช้แล้วควรเช็ดทำความสะอาดแล้วทาด้วยน้ำมันเพื่อกันสนิมและหยอดน้ำมันสปริงขากรรไกร เก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย

เครื่องตัดสับ

เครื่องตัดสับใช้สำหรับตัดหรือสับหญ้าอาหารโคให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อความสะดวกในการบรรจุเพื่อขนย้าย และเพื่อสับหญ้าให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ สำหรับนำมาผสมในสูตร

ไม้ดอก ไม้ประดับ

ไม้ดอก ไม้ประดับ

ไม้ดอก ไม้ประดับSubmit  
ไม้ดอกไม้ประดับ หมายถึง ไม้ดอกที่นำมาใช้ในการประดับตกแต่งสวน หรือสถานที่ต่างๆ โดยไม้ดอก (Flowering plant) หมายถึง พรรณไม้ที่ออกดอกมีสีสันสวยงาม หรือมีกลิ่นหอม อาจจำแนกไม้ดอกออกได้เป็น ๒ วิธี คือ วิธีแรกเป็นการจำแนกตามลักษณะของพรรณไม้ และวิธีที่ ๒ เป็นการจำแนกตามประโยชน์ใช้สอย
 พรรณไม้ พันธุ์ไม้ วิมานน้ำรีสอร์ท เพชรบุรีไม้ดอกที่เป็นไม้เถา หรือไม้เลื้อย หมายถึง ไม้ดอกที่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ด้วยตนเอง จำเป็นต้องอาศัยยึดเหนี่ยวพาดพิงต้นไม้หรือวัสดุอื่นในการทรงตัว หากไม่มีสิ่งใดให้พาดพิง ก็จะเลื้อยไปตามพื้นดิน
เงินไหลมา ลักษณะเป็นเถาเลือย ถือได้ว่าเป็นนามที่เป็นมงคล เพราะเงินทองที่ไหลมาเทมาสู่บ้านเรือน และสมาชิกทุกคนภายในบ้าน
           
ม่านบาหลี เป็นไม้เลื้อยดอกสีขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ มีรากเป็นเส้นสีแดงดูสวยงาม เหมาะที่จะปลูกเป็นไม้คลุมระแนง

พรรณไม้ พันธุ์ไม้ วิมานน้ำรีสอร์ท เพชรบุรีไม้ดอกที่เป็นพุ่ม หมายถึง ไม้ดอกที่มีเนื้อไม้แข็ง ลำต้นตั้งตรงเป็นอิสระได้โดยไม่ต้องอาศัยต้นไม้หรือวัสดุอื่นยึดเหนี่ยวพาดพิง มีอายุอยู่ได้นานหลายปี มีความสูงไม่มากนัก และมีการแตกกิ่งก้านไม่สูงจากพื้นดิน
กระดังงาสงขลา ดอกจะมีสองสีคือสีเขียวอ่อน และสีเหลืองจะมีกลิ่นหอมแต่ไม่ส่งกลิ่นหอมมากนักโดยเฉพาะเวลากลางวัน
 กาวดูล็อป ใบมีขนาดใหญ่ ส่วนดอกจะเป็นสีแดง

โกสน ลักษณะใบจะแตกออกจากต้นและปลายกิ่ง ส่วนดอกออกเป็นพวงห้อยลงมาด้านล่าง เป็นต้นไม้สิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย
           
ขิงด่าง เป็นว่านสิริมงคล เหมาะที่จะปลูกเลี้ยงไว้ในบริเวณบ้าน เชื่อกันว่าเป็นว่านที่สามารถป้องกันอันตรายต่างๆ ได้

ขิงแดง มีช่อดอกที่สวยงาม สามารถบานอยู่บนต้นได้นาน และมีรูปทรงของดอกที่แปลกกว่าไม้ดอกชนิดอื่น ๆ นิยมนำมาปักแจกัน
 เข็มเชียงใหม่ ใบจะมีขนาดเล็กสีเขียวเข้ม ดอกสีส้มดกเต็มต้น
 เข็มเล็ก ลักษณใบมนรีปลายใบแหลม แต่ละชนิดจะมีขนาดดอกและสีไม่เหมือนกัน นิยมปลูกตามบ้าน ตามริมรั้ว
           
เข็มสามสี ใบมีลักษณะแคบ ปลายใบแหลม และใบมีสามสี ถ้าหากปลูกในที่มีแสงแดงจัด สีบนใบจะสดใสสวยงามมาก

คริสติน่า ยอดมีสีแดงสดเมื่อถูกตัดแต่งบ่อยๆ จะยิ่งแตกพุ่มยอด ทำให้มองดูมีสีสันตลอดเวลา
           
ชบาด่าง ลักษณะใบจะเรียงสลับ มีหลายสี เส้นใบเป็นรูปฝ่ามือ ส่วนดอกคล้ายระฆัง
           
ชาดัด นิยมปลูกเป็นไม้ประดับกลางแจ้ง และทำเป็นแนวกั้นรั้วบ้าน

ดาษตะกั่ว ขอบใบมีลักษณะเป็นรอยยัก ใบมีสองสีสลับกันระหว่างสีเขียวและสีแดง

หอมเจ็ดชั้น ชอบปริมาณแสงแดดตลอดวัน
และไม่ผลัดใบ มักออกดอกในช่วงหน้าหนาว ดอกมีกลิ่นหอมมาก

หอมหมื่นลี้ ใบของมันจะมีลักษณะเป็นรูปไข่และเป็นมันเงา ที่ช่วยกระตุ้นให้กลิ่นหอมของดอกที่มีสีขาวนวล มีกลิ่นหอมมากยิ่งขึ้น
 เทียนหยด ใบเป็นสีเขียวสด เวลาใบดกจะเป็นพุ่มน่าชมมาก ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบและปลายกิ่ง แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ส่วนช่อดอกจะห้อยลงเป็นระย้า
           

ไทรย้อย ใบมีสีเขียวเป็นมัน เป็นไม้พุ่มขนาดกลางที่มีทรงพุ่มหนาทึบแผ่กิ่งก้าน
สาขาทิ้ง  ใบห้อยระย้าแลดูสวยงามและมีรากอากาศแตกออกจากลำต้น ย้อยลงสู่พื้นดินเป็น
จำนวนมาก

นีออน ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง โคนกลีบดอกเป็นดอกสีม่วงจางปลายแยกเป็น 5 แฉก สีม่วงสด
ถึงสีชมพูอมม่วงแดง มักออกดอกพร้อมกันทั้งต้น
 ไผ่จีน เป็นไม้พุ่มเป็นกอ ลำต้นตั้งตรงกลมเป็นทรงกระบอกกลวง ขนาด 2- 7 เซนติเมตร มีผิวเกลี้ยง สีเขียวบางต้นมีลายขาวแซม ไม่มีหนาม เนื้อเเข็ง มีช้อปล้องชัดเจน
 ไผ่ป่า เป็นไม้ไผ่ที่ขึ้นอยู่ตามป่าดงดิบเขา ป่าดิบแล้ง ป่าโปร่งทั่วประเทศ
           
ไผ่ใหญ่ ลำต้นแข็ง ไม่เป็นโพรง มีใบแน่นหนา ลำต้นตรงใหญ่ มีกิ่งชิดไม่ห่าง

พุดซ้อน เป็นไม้หอมที่มีดอกโตกลีบซ้อนสีขาวบริสุทธิ์ และมีกลิ่นหอมแรง ดอกเมื่อแก่แล้วจะกลายเป็นสีเหลือง
           
โมก ดอกของต้นโมกนั้น มีสีขาวสะอาด มีกลิ่นหอมสดชื่นตลอดทั้งวัน
           
โมกซ้อน ลำต้นเรียบ มีจุดขาว ดอกมีลักษณะซ้อน
           
โมกพวง เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ออกดอกตลอดปี ออกดอกเป็นพวงใหญ่ ดอกมีกลิ่นหอม

ฤาษีผสม ใบมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ ขอบใบจัก มีตั้งแต่สีเขียว ม่วง แดง น้ำตาล นิยมปลูกเป็นไม้คลุมดินหรือใช้ตกแต่งสวนหย่อม
           
หางนกยูง หางนกยูงเป็นไม้ที่ปลูกง่าย ทนทาน ออกดอกทั้งปี เหมาะให้ร่มเงาในที่โล่ง
 หูปลาช่อน ใบมีรูปร่างหลายแบบ ทั้งแบบรียาวรูปหัวใจ หรือใบกลมพับเป็นจีบ ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย